วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

จับตายคาหนังคาเขา ตัวการทำเครื่องอืด (การใช้และดู Resource Monitor ของ Windows)

Task Manager
ผมเชื่อว่านี่คือวิธีการที่คลาสสิกที่สุดที่หลายๆ คนใช้งานกันเวลาเครื่องค้าง หรือเครื่องอืด เราจะต้องอยากรู้ทันทีว่ามีโปรแกรมอะไรรันอยู่บ้าง และตัวไหนที่มันสูบสเปกเครื่องของเราไปมากที่สุด มันเป็นโปรแกรมดี ที่ทำงานหนักอย่างสมเหตุสมผลเพื่อเรา หรือมันเป็นไวรัสกันแน่
วิธีการง่ายๆ กับการใช้งาน Task Manager มีดังนี้ครับ
101
1. คุณสามารถเลือกกดปุ่ม Ctrl + Alt + Del เหมือนความเคยชินครั้งเก่าก่อนเพื่อให้ได้เมนูระบบขึ้นมา แล้วค่อยเลือก Task Manager หรือจะกดปุ่ม Ctrl + Alt+ Esc เพื่อเรียก Task Manager ขึ้นมาตรงๆ เลยก็ได้
102
2. ที่หน้าต่าง Task Manager เราจะเห็นรายชื่อของโปรแกรมที่อยู่ Foreground คือทำงานเบื้องหน้า หรือก็คือหน้าต่างที่เราเปิดอยู่นั่นเอง เราจะได้เห็นสถานะว่าตัวไหน Active อยู่ และตัวไหน Not Response ซึ่งตัวที่ Not Response หรือไม่ตอบสนองนี่แหละ ส่วนใหญ่จะเป็นตัวการทำเครื่องอืด เช่น แฮงก์ หรือพยายามทำงานบางอย่างซ้ำๆ วนๆ ไปจนเครื่องเราอืดนั่นเอง
103
3. ต่อมาให้คลิกไปที่แท็บ Process ในแท็บนี้เราจะเห็นรายชื่อ Process ซึ่งก็คือโปรแกรมที่ทำงานอยู่ใน Background โดยจะสังเกตว่าเป็นชื่อไฟล์ที่ทำงานจริงๆ ไม่ใช่ชื่อโปรแกรมหรือชื่อหน้าต่าง ในหน้า Process นี้จะดูยากหน่อยว่าชื่อไหนคือโปรแกรมอะไร เอาเป็นว่าถ้าไม่มีประสบการณ์ก็ต้องเดากันล่ะครับ
104
4. ที่คอลัมน์ CPU จะแสดงว่า Process นั้นๆ ใช้ CPU ไปเท่าไหร่ รวมถึงคอลัมน์อื่นๆ เช่นเมโมรีด้วย แต่ตอนนี้ให้สนใจ CPU กันก่อนครับ ให้คลิกไปที่หัวคอลัมน์ มันจะทำการเรียกเอา Process ที่เรียกใช้ CPU เยอะที่สุดจากมากไปหาน้อย เพื่อความสะดวกของเราในการค้นหาว่าโปรแกรมตัวไหนกำลังเรียกใช้ซีพียูเราแบบสูบเลือดสูบเนื้อ
105
5. นอกจากคอลัมน์ CPU ที่ควรจะดูแล้ว อีกคอลัมน์หนึ่งก็คือ Disk ครับ ไม่ผิดหรอกครับ เพราะ Disk หรือฮาร์ดดิสก์ของเรานั้นถือว่าเป็นคอขวดของระบบ นั่นคือมันเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานช้าและถ่วงความเร็วของเครื่องอยู่แล้ว ถ้ามีโปรแกรมตัวไหนเรียกใช้งานมันเยอะๆ หรือมีโปรแกรมหลายตัวพยายามแย่งกันใช้งานมัน มันก็จะทำให้เครื่องอืดครับ สังเกตจากไฟล์ฮาร์ดดิสก์ที่ติดค้างก็ได้เช่นกัน วิธีการตรวจสอบทำเหมือนกับคอลัมน์ CPU เลยครับ สั่งให้เรียก Process ที่ใช้งานจากมากไปหาน้อย
Resource Monitor ยิ่งกว่าความเป็น Task Manager
หากสิ่งที่แนะนำไปเบื้องต้นยังไม่สามารถหาตัวการได้ คงต้องหาแบบละเอียดมากขึ้นครับ ต่อเนื่องจากที่เราได้ทำไว้ในขั้นตอนที่แล้ว คราวนี้ผมอยากให้ทุกคนคลิกไปที่แท็บ Performance ครับ ซึ่งหน้านี้จะเป็นหน้าที่บ่งบอกการทำงานด้านต่างๆ ของตัวเครื่อง ทั้ง CPU, Memory, Disk และ Network โดยแสดงเป็นกราฟอย่างสวยงาม (ยิ่งใน Windows 8 จะสวยขึ้นอีก)
200
201
1. วิธีการเรียก Resource Monitor ออกมาใช้งานนั้น หลังจากอยู่ที่แท็บ Performance แล้ว ให้คลิกที่ Open Resource Monitor ที่อยู่ด้านล่างของหน้าต่าง
202
2. หน้าต่าง Resource Monitor จะปรากฏขึ้นมา โดยเป็นข้อมูลที่คุณอาจจะดูไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แต่อธิบายง่ายๆ ดังนี้ว่า มีการแบ่งทรัพยากรในเครื่องออกเป็น 4 ส่วน คือ CPU, Disk, Network และ Memory ซึ่งจะมีบอกระดับการถูกใช้งานอยู่ และเมื่อคลิกเปิดดูรายละเอียดในแต่ละส่วนก็จะมีรายละเอียดเพิ่มขี้นมาอีก
203
3. ในส่วนของ CPU นั้นจะคล้ายกับๆ ส่วนของ Performance ใน Task Manager นั่นแหละครับ ดังนั้นถ้าใน Task Manager ดูแล้วว่า CPU ถูกใช้งานไปเท่าไหร่ ในนี้ก็มักจะถูกใช้งานไปเท่านั้นเหมือนกัน ถ้าเครื่องจะอืดก็เพราะ CPU ถูกใช้งานไปเยอะ เช่นเกิน 80% เกือบตลอดเวลา คงต้องมาดูกันว่า Process ไหนกินซีพียูมากที่สุด
204
4. ในส่วนของ Disk มีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะมีเรื่องของปริมาณข้อมูลที่ถูกอ่านเขียน ซึ่งถ้าค่า Disk I/O ที่มีหน่วยเป็น Byte/sec (สีเขียว) ซึ่งถ้าเยอะก็แปลว่า Disk ทำงานหนักหรืองานล้นมือจนเครื่องอืด แต่บ่อยครั้งที่มีการถ่ายโอนข้อมูลไม่เยอะ แต่ “ถี่” เช่นมีโปรแกรมบางตัวเขียนโปรแกรมทีละ 1 Byte ล้านครั้งต่อวินาที ซึ่งคิดออกมาก็เป็นข้อมูลแค่ 1MB เท่านั้น แต่การเขียนข้อมูลล้านครั้งทำให้ Disk ทำงานหนักและเกิดงานล้นมือได้เหมือนกัน ซึ่งจุดนี้จะแสดงให้เห็นที่กราฟสีฟ้า หรือ Active Time นั่นเอง
205
5. ส่วน Network นั้นแทบจะไม่เป็นสาเหตุของเครื่องอืด แต่เน็ตอืดมากกว่า และส่วนสุดท้ายคือ Memory คือต้องดู Physical Memory (กราฟสีฟ้า) หรือแรม ซึ่งถ้าถูกใช้งานเกิด 80-90% แสดงว่าแรมถูกใช้งานไปจนหมดและกำลังเกิดการใช้ Virtual Memory ทดแทน ทำให้ภาระหนักตกไปอยู่กับ Disk เหมือนเดิม ซึ่งคุณจะได้เห็นได้เลยจากข้อ 4 ที่พูดไปแล้วนั่นเอง
คราวนี้ก็คงทราบวิธีการดูแล้วใช่ไหมครับว่า ตัวการที่ทำให้เครื่องของเราอืดนั้นคืออะไร?

Review เจาะลึกทุกระบบการประมวลผลบน PC ได้ง่าย ๆ ด้วย PC Monitor

PC Monitor เป็นแอพที่จะทำให้ทุก ๆ ท่านได้รู้ทุก ๆ ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นในด้าน Hardwar ,Software เราสามารถดูการทำงานได้ทุกอย่างในขณะที่คอมพิวเตอร์ประมวลผล สามารถดูไฟล์ต่าง ๆ ในเครื่องได้ง่าย ๆ ด้วยแอพนี้ ซึ่งการรีวิวครั้งนี้ผมจะให้แนะนำให้รู้จักหน้าตากันครับว่าการใช้งานคร่าว ๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง เนื่องจากมีระบบการใช้งานค่อนข้างเยอะ ต้องทดสอบด้วยตัวเองครับ ถึงจะรู้ว่ามันเจ๋งแค่ไหน
สำหรับการใช้งานจะต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วนใช้งานร่วมกันครับ นั่นคือโปรแกรมที่เราต้องติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ และ แอพสำหรับ iOS โดยการทำงานทั้งหมดจะทำงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยใช้ไวไฟครับ
ก่อนอื่น โหลด PC Mornitor สำหรับ PC กัน ที่นี่
สำหรับ iDevice เครื่องเก่งของเรา ที่นี่
เมื่อโหลดโปรแกรมมาเรียบร้อยแล้วติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ของเรา หลังจากนั้นเปิดขึ้นมาเพื่อทำการ สมัครใช้บริการ โดยเลือกที่ I don’t have an account และเลือก Create New Account กรอกข้อมูลต่าง ๆ ที่ระบบต้องการครับ

และเมื่อสมัครบริการเรียบร้อยแล้วให้ล็อกอินเข้าสู่ระบบ และทำการตั้งค่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการที่จะดูผ่าน iDevice ของเราครับ และยังสามารถตั้งค่าให้มี Notifications ต่าง ๆ เตือนมายัง iDevice ของเราได้อีกด้วย
ตัวอย่างของการตั้งค่า โดยเราจะสามารถดูการทำงานต่าง ๆ ของทุก ๆ การทำงานรายละเอียดตามในภาพซึ่งผมได้เลือกการใช้งานไว้
หลังจากที่ตั้งค่าต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เรามาดูกันครับว่าเจ้า PC Mornitor ใน iDevice ของเราหน้าตาเป็นยังไงและการใช้งานยังไงบ้าง

อันดับแรกล็อกอินด้วย username และ password กันก่อนครับ

เมื่อล็อกอินถูกต้องเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็พร้อมใช้งานกันแล้วครับ


ในส่วนของ Account Details มีข้อมูลต่าง ๆ ของเราครับ และยังสามารถตั้งค่าเปิด/ปิด Notifications ต่าง ๆ ได้


เมื่อตั้งค่าต่าง ๆ เสร็จแล้วมาที่ tab Computer คราวนี้ก็จะเห็นเครื่อง PC ของเราแล้วครับ






เมื่อเข้ามาใน PC ของเราแล้วครับ ก็จะเห็นเมนูต่าง ๆ ให้เลือกใช้งาน โดยอันดับแรกแอพนี้จะบอกก่อนเลยครับว่า ใช้ระบบปฏิบัติการอะไร โดยของผมเป็น Windows 7 Ultimate ซึ่งตั้งแต่เปิดเครื่องวันนี้ใช้เวลาไปแล้ว 56 นาที
System Overview จะประกอบไปด้วย
  • CPU usage
  • Available memory
  • External IP address

หัวข้อถัดไปจะเป็น System Details ประกอบไปด้วย
  • Hardware detail
  • Network
  • Hard Disks
  • Printers
  • Process
  • Users
  • Event Log
  • Terminal

System Details จะยกตัวอย่างการดู Hardware Details ครับ ซึ่งในนี้จะบอกข้อมูลของ Hardward หลัก ๆ ครับมาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง
  • Mainboard – F672CR
  • CPU – Intel Pentium Dual E2180
  • Hard Disk – ST3250310AS

Hard Disks สามารถดู folder ต่าง ๆ ที่อยู่ใน Drive C และยังดูข้อมูลต่าง ๆ ใน Folder ได้อีกด้วยครับ


Processes ในเมนูนี้จะบอกการประมวลผลต่าง ๆ ของ แต่ละโปรแกรม


และสุดท้ายครับ Commands ประกอบไปด้วย ในส่วนเมนูย่อย ๆ นี้สาสามารถสั่งงานได้ตามลักษณะการใช้งานของแต่ละเมนูครับ
  • Lock
  • Logoff
  • Restart
  • Shut Down
  • Power Off
  • Suspend
  • Hibernate

จบล่ะครับ สำหรับแอพนี้ เมนูปลีกย่อยให้เข้าไปดูรายละเอียดเยอะจริง ๆ ไม่สามารถรีวิวได้หมด ท่านทีสนใจเชิญโหลดและทดสอบได้ครับ ผมว่ามันใช้งานได้ดีเลยทีเดียว


วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สแกม (SCAM) คืออะไร

สแกม (SCAM) คืออะไร
หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับคำว่า สแปมเมล์ (SPAM MAIL) หรือเมล์ขยะ คืออีเมล์ที่เราไม่ต้องการ อาจจะเป็นอีเมล์โฆษณาชวนเชื่อ ส่วนสแกม (SCAM) นั้นผู้ไม่หวังดีจะต้องหว่านส่งอีเมล์หรือข้อความในสื่อต่างๆ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์จำนวนมหาศาล (คล้ายๆกับการส่งสแปมเมล์) แต่สแกมนั้นจะต้องมีจุดประสงค์ในการหลอกให้เหยื่อทำอะไรบางอย่างที่ชัดเจน เช่น หลอกให้เหยื่อโอนเงินไปให้ หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้เหยื่อแชร์ข้อมูลต่อๆไป เป็นต้น ดังนั้นถ้าหากมีเหยื่อหลงเชื่อเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ให้โอนเงินไปให้ หรือส่งข้อมูลไปให้ เท่านี้ผู้ไม่หวังดีก็สามารถสร้างรายได้มากมายแล้ว

ตัวอย่างสแกมที่น่าสนใจ ขอแบ่งตามวัตถุประสงค์ของผู้ไม่หวังดี
  1. หลอกให้เหยื่อโอนเงินไปให้ ได้แก่
    • ไนจีเรียนสแกม (Nigerian SCAM) เป็นสแกมที่หลอกลวงว่าเขาเป็นเจ้าชายแห่งประเทศไนจีเรียยังไม่ได้รับตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้ตกอับและพยายามรวบรวมเงินกลับประเทศ เพื่อไปรับตำแหน่งกษัตริย์ และตนเองจะมีเงินมหาศาล แล้วจากนั้นจะแนบท้ายในอีเมล์ว่าขอให้ท่านช่วยโอนเงินมาให้จำนวนหลักหมื่นบาท แล้วหลังจากได้รับตำแหน่งจะได้เงินตอบแทน 10 เท่า 
    • ญาติหรือเพื่อนของเรากำลังลำบาก เป็นสแกมที่ต้องอาศัยการขโมยบัญชีอีเมล์ของเรา จากนั้นก็จะส่งอีเมล์จากบัญชีที่ถูกขโมยได้มายังเพื่อนๆของเราตามรายชื่อที่ถูกเก็บไว้ในบัญชีอีเมล์ โดยเนื้อความนั้นจะบอกว่าเราอยู่ต่างประเทศ (ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศอังกฤษ) แล้วกระเป๋าเดินทางสูญหายจากสนามบิน กระเป๋าเงินถูกขโมย ไม่มีพาสปอร์ตและเงินเหลือติดตัวเลย ดังนั้นขอให้เหยื่อ (เพื่อนของเรา) ให้โอนเงินยังผู้ไม่หวังดีเพื่อที่จะนำไปซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย ถ้าหากเรามีเพื่อนหรือญาติที่เดินทางไปประเทศนั้นๆพอดี และไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ ก็จะตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย
  2. หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว 
    • ฟิชชิ่งสแกม (Phishing SCAM) ที่จริงแล้วก็คือฟิชชิ่งนั่นเอง ซึ่งผู้ไม่หวังดีจะส่งอีเมล์หาเราเพื่อโน้มน้าวให้เราเข้าเว็บไซต์ที่เลียนแบบหน้าตาของเว็บไซต์ธนาคาร สถาบันการเงิน และร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ถ้าหากเหยื่อหลงเชื่อก็จะกรอกข้อมูลส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของธนาคารแห่งนั้นๆได้
    • สแกมหลอกว่าได้รับรางวัล หลายๆคนคงเคยเห็นอีเมล์ที่บอกว่าเราได้รับสิทธิ์พิเศษในการชิงรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ คอมพิวเตอร์ราคาแพง หรือแม้กระทั่งแพกเกจทัวร์ต่างๆ จากนั้นถ้าหากเราหลงเชื่อแล้วเข้าเว็บไซต์ของผู้ไม่หวังดี เขาก็จะให้เรากรอกข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่นหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ชื่อนามสกุล หรือบางเว็บอาจจะขอข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของเราก็ได้ เป็นต้น ดังรูปที่ 1

    •  
      รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างอีเมล์หลอกลวงว่าสิทธิ์ในการสั่งซื้อสินค้าราคาพิเศษ 
    • หลอกให้เหยื่อแชร์ข้อมูลต่อๆไป
      • สตาร์บักส์สแกม (Starbucks SCAM) ต้องบอกว่ากาแฟยี่ห้อดังถูกผู้ไม่หวังดีอาศัยชื่อเสียงเพื่อหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งสแกมนี้ถูกส่งมาในเฟซบุ๊คเพื่อหลอกให้เหยื่อนั้นส่งข้อมูลเพื่อแลกกับคูปองดื่มกาแฟฟรี สุดท้ายแล้วมีเหยื่อจำนวนมากทำการแชร์ข้อมูลต่อไป แต่ไม่ได้รับคูปองดังกล่าว 
    รูปที่ 2 แสดงข้อความบนเฟซบุ๊คที่หลอกว่าจะได้รับคูปองทานกาแฟฟรี

    ป้องกันตัวเองอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
    1. อย่าหลงชื่อข้อความที่ได้รับมาผ่านทางอีเมล์หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยง่าย
    2. อย่าโลภ พึงระลึกเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยง่าย
    3. หากได้รับอีเมล์หรือข้อความที่น่าสงสัย ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของจดหมายให้แน่ชัดก่อน
    4. จากข้อ 3 หากพบความอีเมล์หรือข้อความดังกล่าวเป็นสแกมจริง ให้ลบทิ้งทันที และห้ามส่งต่อ เพื่อจำกัดขอบเขตของสแกมให้เหลือน้อยที่สุด
    5. หากได้รับอีเมล์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เรารู้จัก ก็ให้ติดต่อเขาผ่านช่องทางอื่นๆก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่าเขาประสบปัญหาจริง
    6. หากใครที่หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ ให้แจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวัน

    บททิ้งท้าย
    ในบทความนี้ผู้อ่านทุกท่านคงได้รับความรู้ว่าสแกมคืออะไร มีแบบใดบ้าง รวมทั้งวิธีการป้องกันตัวเอง ดังนั้นผมจะขออนุญาตจบไว้เท่านี้ก่อน แต่สัญญาว่าบทความต่อไปจะนำตัวอย่างสแกมบนเฟซบุ๊คที่น่าสนใจ ที่ผมได้รับในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้นักเขียนรับเชิญอย่างพี่ Pituphong Yavirach หรือ PenguinArmy มาร่วมวิเคราะห์ที่มาที่ไปของสแกมดังกล่าวด้วย